
เคยไหม? ยอดขายพุ่งกระฉูด ออเดอร์ล้นมือ แต่พอปิดงบสิ้นเดือนกลับพบว่า “กำไรบางเฉียบ” หรือเผลอๆ อาจถึงขั้นขาดทุน ปัญหาเหล่านี้มักไม่ได้เกิดจากการขายไม่ดี แต่เกิดจาก “การคำนวณต้นทุนการผลิต” (Production Cost) ที่ไม่ครอบคลุมและไม่แม่นยำ ทำให้เกิดภาวะต้นทุนบานปลายโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาผู้ประกอบการและโรงงานไปเจาะลึกวิธีคำนวณต้นทุนที่ถูกต้อง เพื่ออุดรอยรั่วทางการเงินและกู้กำไรคืนมาให้ธุรกิจของคุณ
ทำไม “ต้นทุนการผลิต” ถึงสำคัญกว่าที่คุณคิด?
การรู้ตัวเลขต้นทุนที่แท้จริงไม่ใช่แค่เรื่องทางบัญชี แต่คือ “หัวใจของการตั้งราคาขาย” หากคุณคำนวณต้นทุนต่ำกว่าความเป็นจริง คุณจะตั้งราคาขายถูกเกินไป ทำให้ยิ่งขายยิ่งเข้าเนื้อ ในทางกลับกัน หากคำนวณสูงเกินไป คุณจะเสียความสามารถในการแข่งขัน
องค์ประกอบหลัก 3 ส่วนของต้นทุนการผลิต (Cost Components)
เพื่อให้คำนวณได้แม่นยำ คุณต้องแยกแยะโครงสร้างต้นทุนให้ออก โดยหลักการสากลจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ:
1. วัตถุดิบทางตรง (Direct Material – DM)
คือ วัสดุทุกอย่างที่เป็นส่วนประกอบหลักของสินค้าที่สามารถระบุและวัดปริมาณได้ชัดเจน
- ตัวอย่าง: ไม้สำหรับทำโต๊ะ, ผ้าสำหรับตัดเย็บเสื้อ, เม็ดพลาสติกสำหรับขึ้นรูปชิ้นงาน
- จุดที่มักพลาด: ลืมคำนวณส่วนสูญเสีย (Waste) หรือเศษวัสดุเหลือทิ้งที่เกิดจากการผลิต
2. ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor – DL)
คือ ค่าจ้างของพนักงานที่มีส่วนร่วมโดยตรงในการเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นสินค้า
- ตัวอย่าง: เงินเดือนพนักงานฝ่ายผลิต, ค่าจ้างคนคุมเครื่องจักร, ค่าล่วงเวลา (OT) ของฝ่ายผลิต
- จุดที่มักพลาด: นำเงินเดือนของผู้จัดการโรงงาน หรือ รปภ. มารวมในส่วนนี้ (ซึ่งจริงๆ แล้วควรไปอยู่ในข้อ 3)
3. ค่าใช้จ่ายในการผลิต หรือ โสหุ้ย (Manufacturing Overhead – OH)
นี่คือ “ตัวการสำคัญ” ที่ทำให้ต้นทุนบานปลาย เพราะเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่ได้ติดไปกับตัวสินค้าโดยตรง แต่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อให้โรงงานดำเนินต่อไปได้
- ตัวอย่าง: ค่าไฟฟ้าโรงงาน, ค่าน้ำมันเครื่องจักร, ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร, เงินเดือนหัวหน้างาน, ค่าเช่าโรงงาน
- จุดที่มักพลาด: มักถูกประเมินต่ำเกินไป หรือลืมนำมาหารเฉลี่ยต่อหน่วยสินค้า
สูตรคำนวณต้นทุนการผลิต (แบบเข้าใจง่าย)
เมื่อรวบรวมข้อมูลทั้ง 3 ส่วนได้แล้ว ให้นำมาเข้าสูตรดังนี้:
ต้นทุนการผลิตรวม = วัตถุดิบทางตรง (DM) + ค่าแรงทางตรง (DL) + ค่าใช้จ่ายในการผลิต (OH)
และหากต้องการหาต้นทุนต่อชิ้น เพื่อนำไปตั้งราคาขาย:
ต้นทุนต่อหน่วย = ต้นทุนการผลิตรวม ÷ จำนวนสินค้าที่ผลิตได้
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติคุณผลิตเก้าอี้ 1,000 ตัว
- ค่าไม้และน็อต (DM): 100,000 บาท
- ค่าแรงช่างไม้ (DL): 50,000 บาท
- ค่าไฟ+ค่าเช่า+ค่าเสื่อม (OH): 30,000 บาท
ต้นทุนรวม = 100,000 + 50,000 + 30,000 = 180,000 บาท ต้นทุนต่อตัว = 180,000 ÷ 1,000 = 180 บาท/ตัว
(หมายเหตุ: หากคุณตั้งราคาขายที่ 200 บาท คุณจะได้กำไรขั้นต้น 20 บาท/ตัว แต่ถ้าคุณลืมคิดค่าโสหุ้ย 30,000 บาท คุณอาจเข้าใจผิดว่าต้นทุนคือ 150 บาท และเผลอไปลดราคาขายแข่งกับคู่แข่งจนขาดทุนได้)
3 กลยุทธ์แก้ปัญหา “ต้นทุนบานปลาย” อย่างยั่งยืน
เมื่อรู้วิธีคำนวณแล้ว ขั้นต่อไปคือการควบคุม:
- ลดของเสีย (Reduce Waste): ทุกครั้งที่มีการผลิตเสีย (Defect) คือการทิ้งเงินต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงไปฟรีๆ การนำระบบ QC หรือ Lean Manufacturing มาใช้จะช่วยลดต้นทุนส่วนนี้ได้มหาศาล
- จัดการสต็อกวัตถุดิบ (Inventory Management): อย่าตุนของมากเกินความจำเป็น (Overstock) เพราะจะมีต้นทุนจม (Sunk Cost) และค่าดูแลรักษา
- ใช้เทคโนโลยีช่วยคำนวณ: การใช้โปรแกรมบัญชี หรือระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) จะช่วยให้คุณเห็นตัวเลขต้นทุนแบบ Real-time แม่นยำกว่าการจดใส่กระดาษหรือ Excel และช่วยปันส่วนค่าใช้จ่าย (Overhead Allocation) ได้อย่างถูกต้อง
สรุป
การคำนวณ ต้นทุนการผลิต ที่แม่นยำ คือก้าวแรกของการสร้างกำไรที่ยั่งยืน อย่าปล่อยให้ค่าใช้จ่ายแฝงหรือการคำนวณแบบกะประมาณมาเป็นตัวฉุดรั้งธุรกิจของคุณ เริ่มต้นตรวจสอบโครงสร้างต้นทุนวันนี้ เพื่อให้คุณสามารถตั้งราคาได้อย่างมั่นใจและแข่งขันได้ในตลาด

